วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การกระทำความผิดเกี่ยวกับศาสนา( เครดิต... เดชา กิตติวิทยานันท์ ผ่าน decha.com )

สวัสดีพี่น้องทนายคลายทุกข์( ทาง E-Magazine ทุกท่าน 
ทนายคลายทุกข์ขอส่ง บทความที่มีประโยชน์เกี่ยวกับเรื่อง การกระทำความผิดเกี่ยวกับศาสนา 
แฟนคอลัมน์ทนายคลายทุกข์ให้ผมไปค้นคว้าเกี่ยวกับคดีการกระทำความผิดเกี่ยวกับศาสนา เนื่องจากปัจจุบันมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับศาสนาจำนวนมาก เช่น แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ลบหลู่ศาสดา แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อพระภิกษุ อันเป็นการกระทำที่กระทบต่อจิตใจของพุทธศาสนิกชน ผมได้ไปค้นคว้ามามีอยู่หลายคดีด้วยกัน รายละเอียดปรากฏตามตัวอย่างคดีดังต่อไปนี้ 
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1807/2550 
จำเลยแต่งกายเป็นภิกษุแล้วใช้เท้าข้างหนึ่งยืนอยู่บนฐานพระพุทธรูปปางห้ามญาติ โดยเท้าจำเลยอยู่บนส่วนหนึ่งของพระบาทพระพุทธรูปยกมือขวาขึ้นเลียนแบบพระพุทธรูป แสดงท่าทางล้อเลียนถลึงตาอ้าปาก นอกจากจะเป็นการไม่เคารพต่อพระพุทธรูปแล้ว จำเลยยังได้แสดงตนเสมอกับพระพุทธรูป จึงเป็นการกระทำอันไม่สมควรและเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพุทธศาสนา จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736/2505 
จำเลยขณะเป็นพระภิกษุ ได้ร่วมประเวณีกับหญิงในกุฏิของจำเลยบนเขาวังจังหวัดเพชรบุรีมีกุฏิพระใกล้เคียงหลายหลัง มีพระพุทธรูปพระฉายบนเขาวัง เป็นสถานที่ที่ประชาชนเคารพนับถือนั้นเห็นได้ว่าเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งแต่จะถือว่าเป็นการเหยียดหยามศาสนาตามความในมาตรา 206ยังไม่ถนัด (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2505) 
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2483 
การขุดเจดีย์ซึ่งเป็นที่สักการะเขาในทางพุทธสาสนา แม้จะมุ่งเพื่อค้นหาทรัพย์ก็ดีก็มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 172 
4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2500 
การแห่นาคไปวัดเพื่อจะทำการอุปสมบท เป็นการกระทำตามประเพณีนิยมของชนบางหมู่ยังไม่ถึงขั้นกระทำพิธีกรรมทางศาสนา ตามความหมายใน มาตรา 173 
5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2500 
ชาวบ้านประชุมกันนมัสการถวายต้นดอกไม้และปราสาทผึ้งต่อพระภิกษุเจ้าอาวาส จำเลยเข้าไปด่าพระภิกษุ และเอาปราสาทผึ้งไปเตะเล่น เป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา173 แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207 ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่า 
6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1100/2516 
จำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เป็นทั้งความผิดลหุโทษและที่มิใช่ลหุโทษ แต่ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาในความผิดลหุโทษแต่บทเดียว แล้วเปรียบเทียบปรับไป ถือว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ทำให้คดีเลิกกันอันเป็นเหตุให้สิทธินำคดีมาฟ้องระงับไป พนักงานอัยการมีสิทธิฟ้องจำเลยในความผิดที่มิใช่ลหุโทษอีกได้ 
คืนเกิดเหตุมีการชุมนุมกันกระทำพิธีสวดมนต์ทำบุญฉลองกระดูกผู้ตายตามพุทธศาสนาบนหอสวดมนต์ จำเลยขึ้นมาส่งเสียงเอะอะอื้อฉาวซ้ำยังกล่าวว่า พระนี่ยุ่งจริง พระไม่มีความหมายแล้วจำเลยนั่งลงใช้มือตบกระดาน 7-8 ครั้งและชักปืนพกออกจากเอวมาถือไว้ หันปากกระบอกปืนมาทางพระ แล้วปืนตกลงยังพื้นหอสวดมนต์ การกระทำของจำเลยดังกล่าว ถึงแม้ผู้ที่ไปชุมนุมกันจะไม่มีปฏิกิริยาวุ่นวายขึ้นก็ตาม ก็ยังถือได้ว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207 
7.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1798/2542 
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 29ที่ใช้บังคับอยู่ ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2534 นั้น การสละสมณเพศเพราะถูกจับในข้อหาคดีอาญาแยกได้เป็น 3 กรณี คือ 1. เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสไม่ยอมรับตัวไว้ควบคุมพนักงานสอบสวนดำเนินการให้สละสมณเพศได้ 2. พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเห็นว่าไม่ควรปล่อยชั่วคราวและไม่ควร มอบตัวให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม ก็ดำเนินการ ให้สละสมณเพศได้ และ 3. พระภิกษุรูปนั้นไม่ได้สังกัด อยู่ในวัดใดวัดหนึ่งหรือเป็นพระจรจัด ก็ดำเนินการ ให้สละสมณเพศได้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 ร้อยตำรวจโท ส. นำจำเลยไปมอบให้พนักงานสอบสวนโดยมีก. แจ้งว่าจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิชอบและยุ่งเกี่ยวกับ พ.ภริยาของ ก. พนักงานสอบสวนจึงนำจำเลยไปพบเจ้าคณะเขตและพระภิกษุผู้ใหญ่อีกหลายรูปเพื่อ สอบสวนจำเลย เมื่อไม่ได้ความชัดว่าขณะนั้นจำเลยจำพรรษา และสังกัดวัดใดแล้ว จำเลยได้ยินยอมสึกจากการเป็นพระภิกษุ โดยเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาว เมื่อกรณีเห็นได้ แจ้งชัดว่าจำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาและพนักงาน สอบสวนไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว ทั้งจำเลยมิได้สังกัด ในวัดใดวัดหนึ่ง พนักงานสอบสวนจึงได้ดำเนินการให้จำเลย สละสมณเพศ โดยนำจำเลยไปพบเจ้าคณะเขตและพระภิกษุ ผู้ใหญ่อีกหลายรูปเพื่อทำการสึกจำเลยจากการเป็นพระภิกษุ การที่จำเลยยินยอมเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาว เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้สละสมณเพศแล้วเพราะพระภิกษุ ที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือต้องปาราชิก จะขาดจากการ เป็นพระภิกษุทันทีโดยเจ้าคณะเขตหรือเจ้าคณะตำบลหรือ เจ้าคณะแขวงสามารถให้พระภิกษุรูปนั้นสึกได้โดยไม่ต้อง กล่าวคำอำลาสิกขา การที่จำเลยยินยอมเปลื้องจีวร ออกเมื่อ ต่อสู้คดี ย่อมไม่เป็นเหตุให้จำเลยกลับมาเป็นพระภิกษุใหม่อีก ดังนั้น การที่ต่อมาจำเลยกลับมาแต่งกายเป็นพระภิกษุ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นพระภิกษุจึงเป็นการกระทำ ที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 
ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ดังนั้นคนดีไม่ควรลบหลู่ศาสนาหรือใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน 

ด้วยความปรารถนาดี 
จาก ทีมงานทนายคลายทุกข์ 




/////////////////////////////////////////////
ขอแนะนำคอลัมน์ดี/คลิปดี (เว๊บไซ้ท์ดีที่เราขอชมเชย)
ซึ่งมีชื่ออยู่ในคลิปหรือข่าวที่อยู่ด้านบนนี้และ
ขอชมเชยและขอให้เครดิตเว๊บไซ้ท์ดีที่มาของข่าว/ภาพ
จากเว๊บที่มีชื่อด้านล่าง/บนนี้ที่เราได้ไปค้นพบมาให้ท่านชม

เดชา กิตติวิทยานันท์ ผ่าน decha.com 

ทีมงานน.ส.พ.ดีโพลมานิวส์ (ดีโพลมา 21058 )ถ่ายทอด
น.ส.พ.ดีโพลมานิวส์เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
ไม่รับโฆษณา ลงข่าวฟรี! ประกาศข่าวฟรี! ฟรีทุกอย่าง
ดังมีรายนามผู้บริหารดังนี้.... บ.ก.เกรียงไกร พรเทพ
(พี่เทพ) (บรรณาธิการและหัวหน้ากองบรรณาธิการ)
จตุพล (บ.ก.บริหาร 3 สื่อ) บุญรุ่ง พวงทอง
(คนเดลิมิเร่อร์) ผู้ช่วย บ.ก.
บรรทิศ คนเมืองคอน(ผู้ช่วย บ.ก.ดีโพลมานิวส์)
สุจิตรา(นามปากกา หญิงเหล็ก”) 
ปฐมภพ(นามปากกา "คนสายกลาง")
ชมรมสื่อมวลชนและเพื่อนทนายความ
(ที่ปรึกษากฎหมาย)ไม่มีเงินจ้างทนายเราช่วยได้(ฟรี!)
(รับปรึกษาปัญหากฎหมายฟรี!)
เสริมสุข ขวัญปัญญา(ฝ่ายข่าวกฎหมาย-ทนายความ)
นงลักษณ์ สุขจิรัง(ฝ่ายข่าวกฎหมาย-ทนายความ)
โทร.099-2612588 หรือ 086 – 7928056)
ข่าวที่เห็นอยู่นี้เป็นตัวอย่างเพียงบางส่วนเท่านั้น
ข่าวนี้จะนำไปลงสื่อฯต่างๆในเครืออีกครั้งหนึ่ง
รวมสื่อต่างๆแล้วเรามีผู้อ่านข่าวของเราร่วมหลายแสนคน
อีเมล์...dpm2554@gmail.com
คอลัมนิสต์ นามปากกา “คนพิเศษ”
(ผู้ตรวจข่าวฉบับที่1.)
รองฯ กรรณชัย (นามปากกา”ผู้กองแอ๊ด”)
รอง บ.ก. ดูแลข่าวตำรวจ


(ผู้ตรวจข่าวคนสุดท้าย) 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น