การต่อสู้คดียาเสพติดของผู้ต้องหาหรือจำเลย(ดีโพลมา2298)
4 สิงหาคม 2557 - 23:01:00
การต่อสู้คดียาเสพติดของผู้ต้องหาหรือจำเลย(ดีโพลมา2298)
ท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม www.decha.com ในส่วนที่เกี่ยวกับคดียาเสพติด ทีมทนายความของ website ขอเรียนว่า การให้คำปรึกษากับผู้ต้องหาหรือจำเลย รวมทั้งญาติของผู้ต้องหาหรือจำเลย มีหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
1. ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์และการเข้ามาที่สำนักงานฟรี โดยไม่เสียค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น
2. การให้คำแนะนำหรือให้คำปรึกษาเป็นไปตามกฎหมายยาเสพติดและบรรทัดฐานต่าง ๆ ที่ศาลฎีกาได้วางหลักไว้เกี่ยวกับคดียาเสพติด
3. ไม่ให้คำปรึกษาตามความเชื่อส่วนตัวของทนายความ เป็นหลัก
4. การขอคำปรึกษาจะต้องมีสำเนาบันทึกการจับกุม สำเนาคำฟ้อง ประกอบในการขอคำปรึกษาเท่านั้น เพราะทนายความไม่ใช่หมอดูที่จะพยากรณ์คดี
5. ไม่รับจ้างล้มคดี หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
6. การให้คำแนะนำหรือเขียนอุทธรณ์ หรือฎีกาคดียาเสพติด เน้นการต่อสู้คดี ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ยกฟ้องคดียาเสพติดเป็นหลักเท่านั้น ไม่เน้นการวิ่งเต้นล้มคดีหรืออวดอ้างสรรพคุณใดๆ ที่ตรวจสอบไม่ได้
คำเตือน อย่าหลงเชื่อบุคคลซึ่งมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้
1. บุคคลแอบอ้างวิ่งเต้นประกันตัวได้ มีผู้ต้องหาคดียาบ้าถูกหลอกลวงมาร้องเรียนที่นี่เป็นจำนวนมาก
2. ทนายความที่ไปเยี่ยมจำเลยในเรือนจำโดยไม่ได้ร้องขอและเสนอตัวต่อผู้ต้องขังให้จ้างตนเองเป็นทนายความ โดยอ้างว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่น มีเส้นสายกับตำรวจ อัยการ การกระทำดังกล่าวเป็นการผิดมรรยาททนายความมีเรื่องร้องเรียนจำนวนมาก
3. ตำรวจชุดจับกุม พนักงานสอบสวน เรียกรับเงินเพื่อล้มคดี กลับคำให้การพยาน ทำให้พยานหลักฐานอ่อน ถ่ายสำนวนการสอบสวนให้ผู้ต้องขัง หลังจับกุมแนะนำให้ทนายของตัวเองโทรหาญาติผู้ต้องหาให้จ้างทนาย โดยมีการเรียกเงินหรือผลประโยชน์
4. ทนายความหรือบุคคลที่อ้างว่าสามารถซื้อใบ 100/2 ได้เพื่อลดโทษ มีการหลอกลวงผู้ต้องขังในเรือนจำเป็นจำนวนมากถึงแม้จะจัดทำขึ้น แต่ศาลไม่นำไปลดโทษและไม่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยเนื่องจากศาลไม่เชื่อว่ามีการให้เบาะแสเพราะจำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ มีการเร่ขายตามเรือนจำมากมาย โดยนักกฎหมายราคาใบละ80,000 ถึงหลายแสนบาท
5. บุคคลหรือทนายความที่อ้างว่าเคลียร์พนักงานสอบสวนได้หรือลดจำนวนยาเสพติดได้ มีผู้ต้องหาถูกหลอกมาร้องเรียนที่นี่เป็นจำนวนมาก
“ เตือนผู้ต้องหาที่ถูกจับ ซึ่งมีความทุกข์อยู่แล้ว อาจะมีความทุกข์เพิ่มเติมถ้าพบพฤติการณ์ของบุคคลดังกล่าวข้างต้น "
การวางแผนต่อสู้คดียาเสพติดของทนายความมืออาชีพ ต้องพิจารณาสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1. บันทึกการจับกุมสำคัญที่สุด ต้องตรวจสอบบันทึกการจับกุมของตำรวจหรือปปส. เพราะถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่สุดในคดี ตำรวจจะเบิกความขยายผลหรือขัดกับบันทึกการจับกุมหรือแตกต่างกันไม่ได้ และตำรวจต้องมอบสำเนาบันทึกการจับ ป.วิ.อ.มาตรา 84(1) (ฎีกา 6836/2541,3607/2538, 2705/2539, 63/2533,408/2485)
2. ถ้ามีถ้อยคำรับสารภาพในชั้นจับกุม ป.วิ.อ.มาตรา 84 วรรคสี่ ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลย ดังนั้น ถึงแม้จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ก็ไม่ได้มีผลเสียต่อรูปคดี ยังสามารถให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นศาลได้ หากมิได้กระทำความผิดและมีพยานหลักฐานหักล้างโจทก์ได้
3. คำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวนจะต้องมิได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญ ถ้าให้การเพราะถูกบังคับจากตำรวจ ถือว่ารับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้ผู้ต้องหารับสารภาพ ก็ยังกลับคำให้การในชั้นศาลต่อสู้คดีได้ หากมีพยานหลักฐานอื่นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ตัวอย่างที่ศาลยกฟ้อง เช่น คำเบิกความของตำรวจชุดจับกุมซึ่งเป็นพยานคู่ แตกต่างกันในสาระสำคัญ เช่น สายลับ การส่งมอบยาเสพติด จำนวนยาเสพติด แหล่งที่พบยาเสพติด สถานที่ที่พบยาเสพติด ยานพาหนะที่ใช้ในการขนยาเสพติด หรือแตกต่างจากคำให้การของตนเองในชั้นจับกุม บันทึกการจับกุมในชั้นสอบสวนหรือแตกต่างจากบัญชีของกลาง แผนที่สังเขปที่ตัวเองเป็นผู้จัดทำขึ้น เป็นต้น (ฎีกา 1567-1568/2479, 8021/2544,6370/2539,7562/2537)
4. ถ้อยคำอื่นในบันทึกการจับกุมของผู้ต้องหา เช่น ยอมรับว่าได้ซื้อยาบ้ามาจากนาย ก. ยอมรับว่าค้ายามานานแล้ว ยอมรับว่านำยาบ้าไปซุกซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่ง รับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดจำเลยได้ ถ้าก่อนที่ตำรวจจะถามผู้ต้องหาได้เตือนผู้ต้องหาให้รู้ตัวก่อนว่า ถ้อยคำเกี่ยวกับยาเสพติดจะสามารถรับฟังลงโทษผู้ต้องหาได้ และต้องแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า จะให้ถ้อยคำหรือไม่ก็ได้ จึงจะรับฟังลงโทษผู้ต้องหาได้ ป.วิ.อาญา มาตรา 84วรรคท้าย (ฎีกา 3254/2553) ถ้อยคำอื่นในชั้นจับกุมของผู้ต้องหาหากเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไป ผู้ต้องหายังสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาคดีให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้ เช่น ไม่ได้ให้ถ้อยคำดังกล่าว หรือถ้อยคำดังกล่าวขัดต่อเหตุผลไม่น่าจะเป็นไปได้ เป็นต้น
5. ของกลางขณะถูกจับ ถ้ามิได้อยู่กับผู้ต้องหา โอกาสต่อสู้คดีมีมาก แต่ถ้าตำรวจยัดยาหรือเขียนลงในบันทึกการจับกุมว่า จับได้พร้อมของกลาง โดยทั่วไปมุขของตำรวจมักจะระบุว่า จับได้ในมือข้างขวาหรือกระเป๋ากางเกงด้านขวา เป็นมุขเก่าๆ ดังนั้น ถ้าตำรวจยัดข้อหาดังกล่าวจะต้องไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม และให้ร้องขอความเป็นธรรมว่า ถูกยัดยาหรือจับกุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันนี้ก็เป็นข้อต่อสู้ที่ต่อสู้ได้ ป.อ.มาตรา83(ตัวการร่วม) ตัวอย่างข้อต่อสู้ เช่น ยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด เป็นยาบ้าจำนวนมากไม่น่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของจำเลยเพราะอาจแตกเสียหายได้ หรือยาบ้าบรรจุอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ล็อคด้วยกุญแจพร้อมรหัส หรือยาบ้าวางอยู่กลางบ้านเปิดเผย หรือยาบ้าจำนวนน้อยอยู่ในกระเป๋ากางเกง หากจำเลยค้ายาบ้าจริง น่าจะถือไว้ในมือเพราะง่ายต่อการโยนทิ้งเพื่อทำลายหลักฐานหรือตำแหน่งที่จำเลยอยู่ห่างไกลจากยาเสพติด เป็นต้น
6. ของกลางที่พบในบ้านของผู้ต้องหา ถ้ามีผู้ต้องหาคนหนึ่งรับเป็นเจ้าของแล้ว เช่น สามีรับสารภาพว่าเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่ภรรยาจะหลุด ตำแหน่งที่พบของกลาง ถ้าซุกซ่อนปกปิดมิดชิดอยู่ คนที่ต้องติดคุกคือเจ้าของห้อง แต่บุคคลอื่นที่อยู่ในห้องอาจมีข้อสงสัยว่า อาจจะไม่ทราบว่ามียาเสพติด ยังมีลู่ทางต่อสู้อยู่ ตัวอย่างข้อต่อสู้ เช่น ไม่ได้พักอาศัยอยู่เป็นประจำ กลับบ้านดึก หรือมีบุคคลอื่นเข้าออกหลายคน
7. คำซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน มีน้ำหนักน้อย ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยลำพัง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227/1 จะต้องมีพยานหลักอื่นประกอบ นอกจากคำซัดทอด เช่น พบยาเสพติดของกลางเพิ่มเติม เป็นต้น (ฎีกา 1014/2540,758/2487) ตัวอย่างข้อต่อสู้ เช่น พยานถูกจับข้อหาค้ายาเสพติด ซัดทอดจำเลยเพื่อต้องการลดโทษหรือตำรวจสัญญาว่าจะกันไว้เป็นพยาน คำให้การดังกล่าวไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
8. ธนบัตรล่อซื้อ การพบธนบัตรในตัวผู้ต้องหาไม่ได้หมายถึงว่า ได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติด หากมีช่องว่างไม่ใกล้ชิดติดต่อกับช่วงเวลาจำหน่ายยาเสพติด และโจทก์ไม่มีพยานมายืนยันว่าเห็นจำเลยจำหน่ายยาเสพติด อาจมีข้อสงสัยว่าจำเลยอาจรับธนบัตรไว้ด้วยเหตุผลอื่นก็เป็นได้ ตำรวจจะลงประจำวันก่อนหรือจะไม่ลงประจำวันก็ได้ (ฎีกา 270/2542)
9. การล่อซื้อยาเสพติดของตำรวจ ถ้าผู้ต้องหามียาเสพติดอยู่แล้ว และสายลับล่อซื้อถือว่าทำได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2(10) และเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายตามความจำเป็นและสมควรแต่ถ้าผู้ต้องหาไม่ได้มียาเสพติดไว้ในความครอบครอง แต่ไปบังคับหรือใช้ให้ไปหายาเสพติดมาส่งมอบให้ตำรวจ ถือว่า เป็นการล่อซื้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานที่ได้มาจากการล่อซื้อรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ (ฎีกา4301/2543, 4077/2549,4085/2545)
10.ยานพาหนะที่ใช้ในการส่งมอบยาเสพติดต้องถูกริบแต่ในทางปฏิบัติตำรวจมักเรียกเงินจากผู้ต้องหาและปล่อยรถไป แต่ถ้ารถยนต์ติดสัญญาเช่าซื้อ ต้องแจ้งยกเลิกสัญญากับบริษัทไฟแนนซ์แล้วให้ไฟแนนซ์ไปขอรถคืนจากตำรวจ
11.การหาทนายความว่าความคดียาเสพติด ต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้
- มีประสบการณ์คดียาเสพติดมายาวนาน มองคดีทะลุปรุโปร่ง
- มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ ไม่เน้นการวิ่งเต้น ยัดเงินให้ตำรวจ พวกนี้เรียกว่านักวิ่งความ ไม่ใช่ว่าความ เป็นภัยสังคม
- มองคดีแบบบูรนาการครบทุกด้าน
- มีแผนในการต่อสู้คดีที่สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ
- เปิดเผยแผนได้ ไม่ใช่อ้างว่าเป็นความลับบอกไม่ได้
- ต้องเน้นตัวบทกฎหมาย เวลาให้คำปรึกษากับตัวความ
- ยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาขึ้นมาสนับสนุนคำปรึกษาของตนเองว่าศาลฎีกาเคยวางแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยและยกฟ้อง เป็นต้น
ทุกวันนี้มีการจับกุมคดียาเสพติดเป็นจำนวนมาก แล้วเมื่อจับผู้กระทำความผิดได้แล้ว ตำรวจมักจะทำการขยายผลเพื่อหาตัวผู้บงการใหญ่ซึ่งอยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติด โดยวิธีการของตำรวจมักจะเนินการด้วยวิธีการต่อไปนี้
1. บังคับให้ผู้กระทำความผิดใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองโทรไปหาบุคคลซึ่งติดต่อค้าขายยาเสพติดด้วย และให้หลอกล้อเพื่อนัดส่งยาเสพติด
2. หลังจากนั้นจึงสะกดรอย เพื่อรอจังหวะในการจับกุม
3. ตำรวจมักจะชักจูงให้ผู้กระทำความผิดที่จับได้โดยต่อรองว่าให้ความร่วมมือกับตำรวจ จะปล่อยตัวไป ส่วนใหญ่ผู้ต้องหามักกลัวและยอมทำตาม
4. เมื่อจับตัวผู้กระทำความผิดได้เพิ่มขึ้นแล้ว บางครั้งตำรวจก็ปล่อยตัวไป บางครั้งก็ลดจำนวนยาเสพติดของกลางให้ เช่น 4,000 เม็ด เหลือ 2,000 เม็ด หรือบางครั้งไม่มีการลดจำนวนยาเสพติด
5. สายลับของตำรวจ บางครั้งก็เป็นพวกขี้ยา ,บางครั้งก็เป็นตำรวจไม่แน่นอน
6. แหล่งผลิตยาเสพติดขนาดใหญ่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า , กัมพูชา , ลาว ยากในการจับกุม
7. ในกรณีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ความช่วยเหลือกับทางราชการในการขยายผล กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ให้ศาลใช้ดุลยพินิจลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำ ที่กำหนดสำหรับความผิดนั้นก็ได้ ดังนั้นเมื่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ความช่วยเหลือในการบอกข้อมูลสำคัญ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้กับเจ้าพนักงานหรือ ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น มียาบ้าประมาณ 2,000 เม็ด เมื่อรับสารภาพศาลอาจลงโทษจำคุกเพียง 4 ปี เป็นต้น
บทสรุปเมื่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดถูกจับ ควรให้ความร่วมมือในการขยายผล เพื่อหาตัวการใหญ่ เพราะจะได้ประโยชน์จากมาตรา 100/2
ท่านสามารถเข้าไปฟังคำแนะนำจาก อ.เดชา กิตติวิทยานันท์ ได้จากหน้าแรกของเว็บไซต์ www.decha.comในคอลัมน์คลิปเสียง/รายการวิทยุในหัวข้อวิเคราะห์คดีดังหรือลิงก์นี้ค่ะwww.decha.com/main/showTopic.php?id=4982,www.decha.com/main/showTopic.php?id=8431
ขอขอบคุณที่มาของข่าว/ภาพจากผู้ที่มีชื่ออยู่ด้านล่างนี้ทุกๆท่าน
http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=1226
ถ่ายทอดโดย.....
ทีมงาน น.ส.พ.ดีโพลมานิวส์ (ดีโพลมา2298) มีรายนามดังนี้....
บ.ก.เกรียงไกร พรเทพ ( บรรณาธิการ )
ผช.กรรณชัย(นามปากกา “ผู้กองแอ๊ด”) ผู้ช่วยบ.ก.ดูแลข่าวตำรวจ
และ รักษาการ หัวหน้าข่าวการเมือง
อภินันทร์(นามปากกา “อัจฉริยะ”)ปฐมภพ(นามว่า "คนสายกลาง")
จตุพล (นามปากกา “อัพเดท”) สุจิตรา (นามปากกา “หญิงเหล็ก”)
ชมรมสื่อมวลชนและเพื่อนทนายความ (ฝ่ายกฎหมาย)
(รับปรึกษาปัญหากฎหมายฟรีโทร.095 – 9970577)
ข่าวนี้จะนำไปลงสื่อฯต่างๆในเครืออีกครั้งหนึ่งดังมีรายนามต่อไปนี้
น.ส.พ.ดีโพลมานิวส์ และ dpmnews - dmnnews - diplomanews
และข่าวชมรมนักข่าว2000, และ ข่าวศูนย์วิทยุ (ทาง)ช้างเผือก และ
ข่าวชมรมนักข่าวช่วยสังคม..อีเมล์...diplomanews@gmail.com
ติดตามผลงาน“ชมรมนั่งสมาธิปกป้องสถาบันได้ใน FACEBOOK
เรามีแว๊บไซ้ท์ในเครือนับสิบๆแว๊บไซ้ท์และพันธมิตรสื่อฯอีกนับร้อย
เรายังมีคอลัมน์ในสื่อดังๆต่างๆอีกเป็นจำนวนมาก โดยพิมพ์หาคำว่า
“น.ส.พ.ดีโพลมานิวส์” หรือคำว่า “diplomanews”ในสื่อนั้นๆ
รวมสื่อต่างๆแล้วเรามีผู้อ่านข่าวของเราร่วมหลายแสนคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น